ความหมายของธรรมะ
คำว่า ธรรมะ หรือธัมมะ พระพุทธโฆษาจารย์ได้ให้ความหมายไว้ 4 ประการ คือ
          1. คุณะ ได้แก่ ความประพฤติที่ดีงาม
          2. เทศนา ได้แก่ คำสั่งสอน คำแนะนำทางศีลทางธรรม
          3. ปริยัติ ได้แก่ ลักษณะคำสอนของพระพุทธเจ้า 9 แบบ
          4. นิสสัตต-นิชชีวะ ได้แก่ กฎแห่งเอกภพที่มิใช่สัตว์ มิใช่บุคคล หรือกฎธรรมชาติ
ท่านพุทธทาสภิกขุ ได้จำแนกธรรมไว้ 4 ประเภทเช่นเดียวกัน คือ
          1. ธรรมะ คือหน้าที่และการปฏิบัติตามหน้าที่
          2. ธรรมะ คือผลที่เกิดจากการปฏิบัติตามหน้าที่
          3. ธรรมะ คือความจริงที่ปรากฏหรือกฎธรรมชาติ
          4. ธรรมะ คือธรรมชาติทั้งปวง
          สรุป ธรรมะ หมายถึง ระเบียบกฎเกณฑ์ที่มีอยู่โดยตัวของมันเองในธรรมชาติ พระพุทธเจ้าเป็นเพียงผู้ค้นพบ ปฏิบัติตาม เกิดผลที่ต้องการแล้วก็ประกาศให้คนอื่นรู้ เมื่อคนอื่นรู้แล้วปฏิบัติตามก็เกิดผลอย่างเดียวกัน
          พระธรรมปิฎก กล่าวถึงความหมายของพระธรรมไว้ว่า พระธรรม คือ ความจริงของสิ่งทั้งหลายหรือธรรมชาติทั้งหมด รวมทั้งโลกและชีวิตของเรา ซึ่งเราจะต้องรู้ เข้าใจ และดำเนินชีวิตให้ประสานสอดคล้องถูกต้องตามนั้น เพื่อจะได้มีชีวิตที่ดีงาม เป็นสุขแท้จริง
                                                            คุณค่าของพระธรรม

               ธรรมอันเป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั้น แม้จะมีจำนวนมากมาย แยกแยะเป็นหลายประเภท หากบุคคลรู้จักเลือกสรรเอาหัวข้อธรรมมาปฏิบัติให้เหมาะสมกับสภาพปัญหาและชีวิตของตน ครอบครัว และสังคมแล้ว ย่อมจะเป็นไปตามจุดมุ่งหมายของศาสดาผู้นำหลักธรรมมาประกาศ หลักธรรมอันเป็นคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ล้วนเป็นจริง เป็นสิ่งที่พาไปสู่ความสงบสุข และประโยชน์เกื้อกูล

คุณของพระธรรมที่เรียกว่า “ธรรมคุณ” สรุปได้ 6 ประการคือ
1. สฺวากขาโต ภควา ธมฺโม แปลว่า พระธรรมอันธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว คือ ตรัสไว้เป็นความจริงแท้ อีกทั้งงามในเบื้องต้น(ละชั่ว : ประพฤติศีล) งามในท่ามกลาง (ทำดี : สมาธิ) และงามในที่สุด (ทำใจให้บริสุทธิ์ : ปัญญา) พร้อมทั้งอรรถ (เนื้อความ, ใจความ)พร้อมทั้งพยัญชนะ (อักษร) ประกาศหลักการครองชีวิตอันประเสริฐ บริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิง 2. สนฺทิฏฺฐิโก แปลว่า อันผู้ปฏิบัติธรรมจะพึงเห็นชัดด้วยตนเอง คือ ผู้ใดปฏิบัติธรรม ผู้ใดบรรลุธรรม ผู้นั้นย่อมเห็นประจักษ์ชัดด้วยตนเอง ไม่ต้องเชื่อตามคำบอกของผู้อื่น ผู้ใดไม่ปฏิบัติธรรม ไม่บรรลุธรรม ถึงผู้อื่นจะบอกก็เห็นชัดเจนไม่ได้
3. อกาลิโก แปลว่า ไม่ประกอบด้วยกาล คือ การปฏิบัติธรรม ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา พร้อมเมื่อใด บรรลุได้ทันที บรรลุเมื่อใด เห็นผลได้ทันที อีกอย่างว่า ความเจริญเป็นอยู่อย่างไร ก็เป็นอยู่อย่างนั้นไม่จำกัดด้วยกาลเวลา
4. เอหิปสฺสิโก แปลว่า ควรเรียกให้มาดู คือ เชิญชวนให้มาชม และพิสูจน์ได้ หรือท้าทายต่อการตรวจสอบ เพราะเป็นของจริงและดีจริง
5. โอปนยิโก แปลว่า ควรน้อมเข้ามา คือ ควรน้อมนำหลักธรรมเข้ามาไว้ในใจ หรือน้อมใจเข้าไปให้ถึงหลักธรรม ด้วยการปฏิบัติให้เกิดมีขึ้นในใจ หรือให้ใจบรรลุถึงอย่างนั้น หมายความว่าเชิญชวนให้ทดลองปฏิบัติดู อีกอย่างหนึ่งว่า เป็นสิ่งที่นำผู้ปฏิบัติให้เข้าไปถึงที่หมายคือ นิพพาน
6. ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺโพ วิญฺญูหิติ แปลว่า อันวิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน คือ เป็นวิสัยของวิญญูชนจะพึงรู้ได้เฉพาะตนเองเท่านั้น หรือรู้ได้จำเพาะตน ต้องทำ ต้องปฏิบัติ จึงรับรู้หรือรู้ได้เฉพาะตัว ทำให้กันไม่ได้ เอาจากกันไม่ได้ และรู้ได้ ประจักษ์ที่ในใจของตนนี่เอง

         พระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนนั้น เป็นหลักให้แก่การดำเนินชีวิตของเราเมื่อเราปฏิบัติถูกต้องตามธรรมนั้น
ศักยภาพแห่งความเป็นมนุษย์ของเราก็จะเจริญปรากฏออกมา
จนกระทั่งเราเข้าถึงความจริงของธรรมชาติมีชีวิตที่ดีงามมีความสุขอย่างแท้จริง
พระธรรมจึงเป็นรัตนะที่ 2 ในพระรัตนตรัย ดังนั้นผู้ปฏิบัติธรรมจะได้รับผลดังนี้
1. รักษาผู้ปฏิบัติธรรมให้อยู่เย็นเป็นสุข
2. เป็นดุจอาภรณ์ประดับใจให้งดงาม
3. พัฒนาคนไปสู่ความเป็นกัลยาณชน
4. ขจัดความชั่วออกจากจิตใจ
                                             อริยสัจ 4 : ทุกข์ : ขันธ์ 5 : โลกธรรม 8
                                                                      ขันธ์ 5
         ขันธ์ แปลว่า กอง กลุ่ม ก้อน หลักทางพระพุทธศาสนาวิเคราะห์ว่ามนุษย์สามารถแยกย่อยได้เป็น 5 ขั้น ได้แก่
1. รูปขันธ์ คือร่างกายหรือสสารวัตถุที่แตะต้องได้ สัมผัสได้
2. เวทนาขันธ์ คือความรู้สึกทุกข์ สุข หรือไม่ทุกข์ ไม่สุข
3. สัญญาขันธ์ คือความจำได้หมายรู้ในอารมณ์
4. สังขารขันธ์ คือการปรุงแต่งจิตให้ทำดี ชั่วหรือเป็นกลาง
5. วิญญาณขันธ์ คือการรู้แจ้งทางอารม
ณ์
                                                                    โลกธรรม 8
       โลกธรรม คือ ธรรมดาของโลก, เรื่องของโลก, ธรรมที่ครอบงำโลก หรือธรรมที่มีประจำโลก หมายถึง ธรรมที่ครอบงำสัตว์โลกและสัตว์โลกต้องเป็นไปตามธรรมนี้ หรือทุกคนในโลกนี้ย่อมถูกโลกธรรมนี้กระทบทั้งนั้น ไม่มีใครพ้นไปได้เลย ยกเว้นพระอรหันต์ผู้อยู่เหนือโลกเท่านั้น โลกธรรมมี 8 ประการแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายแรกฝ่ายที่น่าปรารถนาและพึงพอใจ (อิฏฐารมณ์) และฝ่ายที่ไม่น่าปรารถนาหรือไม่พึงพอใจ (อนิฏฐารมณ์) ดังต่อไปนี้ 

               ส่วนที่น่าปรารถนา4(อิฏฐารมณ์)                          ส่วนที่ไม่น่าปรารถนา4(อนิฏฐารมณ์)

          1. ได้ลาภ                                                        1. เสื่อมลาภ

          2. ได้ยศ                                                          2. เสื่อมยศ

          3. สรรเสริญ                                                     3. นินทา

          4. สุข                                                             4. ทุกข์                          

             คู่ที่ 1 ได้ลาภ เสื่อมลาภ ลาภ หมายถึง การได้มาซึ่งสิ่งที่พึงพอใจ เช่น เงินทอง สิ่งของ บุคคล เป็นต้น เมื่อได้มาแล้วยังมีทุกข์ติดตามแอบแฝง ซ่อนเร้นมากับลาภนั้นอีก บางคนต้องเสียชีวิตเพราะมีลาภและป้องกันลาภ ครั้นเมื่อสิ่งที่ได้มาแล้วมีอันต้องวิบัติสูญหายไปหรือถูกแย่งชิงไป เช่น เสียเงินเสียทอง เสียที่อยู่อาศัย เสียสิ่งที่รักที่หวงแหน หรือสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก เรียกว่าเสื่อมลาภ จิตใจก็เป็นทุกข์ แต่ถ้าเข้าใจว่าสิ่งที่แสวงหามาได้ตามกำลังความสามารถและสติปัญญาของตน ไม่โลภมาก หากสูญหายไปก็ถือว่าเป็นธรรมดาของสรรพสิ่งทั้งหลายย่อมเสื่อมสลายไปในที่สุด ทำให้เกิดความสบายใจ เข้าใจกฎของธรรมชาติในข้อนี้ ดุจดังสังขารในขันธ์ 5 ที่ปรุงแต่งขึ้นมา ย่อมเสื่อมสลายไปในที่สุด
             คู่ที่ 2 ได้ยศ เสื่อมยศ ยศ แปลว่า ความยิ่ง ความเด่น ซึ่งหมายถึง ความยิ่งของคน ความเด่นของคน ยิ่งด้วยความเป็นใหญ่ เรียกอิสริยยศ ยิ่งด้วยชื่อเสียงคุณความดี เรียก เกียรติยศ ยิ่งด้วยบริวาร พวกพ้อง เรียกบริวารยศ ทั้ง 3 ยศ หากมีความกระหายต้องการให้ได้ยศมา ก็เกิดความวิตกกังวล เกิดความทุกข์ เพราะเกิดทั้งความโลภ เมื่อไม่ได้มาก็เกิดความโกรธ เมื่อมีแล้วก็เกิดความหลง ดังนั้นจะต้องเข้าใจว่ายศเหล่านี้มีวันเสื่อมสลายไปในที่สุด เรียกว่า เสื่อมยศ หากเราไม่เข้าใจหลักธรรมข้อนี้ก็จะเกิดความหลงมัวเมาเมื่อมียศ เกิดความวิตกกังวล คับข้องใจ และเป็นทุกข์เมื่อเสื่อมยศ เป็นต้น
             คู่ที่ 3 สรรเสริญ นินทา สรรเสริญ ได้แก่การกล่าวขวัญถึงความดี จะต่อหน้าหรือลับหลังก็ตาม การได้ฟังคำสรรเสริญ คำยกย่องคำชมเชย ทำให้ใจเบิกบาน มีความสุข ในทางตรงกันข้าม หากใครถูกนินทา หรือการพูดให้ร้ายหรือพูดในทางที่ไม่ดีในที่ลับหลัง ก็เกิดความไม่พึงพอใจ เกิดความโกรธ ทั้งสองประการนี้ หากไม่เข้าใจหลักธรรมเช่นนี้ ก็เกิดความลุ่มหลงมัวเมา หลงระเริง ทำให้เกิดความลืมตัว ก่อให้เกิดความเห็นผิด หลงตนเอง เมื่อคนอื่นสรรเสริญ และเกิดความไม่พึงพอใจ และทุกข์ใจในที่สุดเมื่อถูกนินทา เป็นต้น ดังนั้นเมื่อเข้าใจหลักธรรมนี้จะช่วยให้เกิดหลักของความอุเบกขา คือ ไม่แสดงอาการใด ๆ เมื่อถูกสรรเสริญ หรือนินทา ถือว่าเป็นธรรมดาของโลก
             คู่ที่ 4 สุข ทุกข์ โลกธรรมคู่นี้เป็นคู่รวบยอด คือสภาพความเป็นอยู่ของคนเราเมื่อกล่าวโดยรวมยอดแล้วมี 2 สภาพคือ สุขและทุกข์เป็นสภาพที่มนุษย์เราจะต้องเผชิญทั้ง 2 ประการ ดังนั้นพึงเข้าใจว่าเราจะดำเนินวิถีชีวิตอย่างไรให้มีความสุขมากกว่าทุกข์ นั่นก็คือจะต้องใช้ปัญญาพิจารณาถึงความดับทุกข์ ซึ่งทางพระพุทธศาสนาได้นำเสนอหลักของอริยสัจ 4 เป็นหลักธรรมในการแก้ไขปัญหาที่เกิดจากความทุกข์ที่เกิดขึ้น
     สรุปก็คือโลกธรรมทั้งสองฝ่ายคือ ฝ่ายอิฏฐารมณ์ และอนิฏฐารมณ์ เมื่อเกิดมาแล้ว มันไม่เที่ยง ไม่คงทนถาวรไม่แน่นอน ย่อมเสื่อมสลายไปในที่สุด ดังนั้นจึงไม่ให้ยึดมั่นถือมั่น จะก่อให้เกิดความทุกข์ในที่สุด                                                                     
                                        อริยสัจ 4 : สมุทัย : กรรมนิยาม : กรรม 12

กรรมนิยาม
           กรรมนิยาม คือ กฎการให้ผลของกรรม หรือกฎธรรมชาติเกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์ คือกระบวนการที่ก่อให้เกิดการกระทำและการให้ผลของการกระทำ มี 2 ประการคือ การกระทำดี ย่อมได้รับผลดี กระทำชั่วย่อมได้รับผลชั่ว

กรรม 12 กรรม หมายถึง การกระทำที่ประกอบด้วยเจตนา ทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว จะก่อให้เกิดกรรมดีเมื่อมีเจตนาจะทำความดี และจะก่อให้เกิดกรรมชั่วเมื่อมีเจตนาจะทำความชั่ว ในที่นี้ หมายถึง กรรมประเภทต่าง ๆ พร้อมทั้งหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการให้ผลของกรรมเหล่านั้นกรรม 12 แบ่งออกเป็น 3 หมวดใหญ่ ๆ แต่ละหมวดแบ่งย่อยออกเป็น 4 ดังนี้คือ

หมวดที่ 1 กรรมที่ให้ผลตามกาลเวลา คือจำแนกตามเวลาที่ให้ผล แบ่งเป็น
1. ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม หมายถึง กรรมที่ให้ผลในปัจจุบัน หรือในชาตินี้ เป็นกรรมที่มีพลังแก่กล้ามากจึงให้ผลในปัจจุบัน ฝ่ายกุศล ได้แก่ ศีล ทาน ที่ได้บำเพ็ญอยู่สม่ำเสมอ หรือกระทำกุศลอย่างแรงกล้า เช่น ยินดีเสียสละความสุขหรือแม้แต่ชีวิตของตน เพื่อรักษาศีลให้บริสุทธิ์ จะได้รับผลจากการกระทำในชาตินี้ ตัวอย่างเช่น ปุณณทาสชายเข็ญใจ ยินดีเสียสละโดยนำเอาอาหารที่ภรรยาตั้งใจนำมาให้ตนรับประทานนั้นน้อยถวายแด่พระสารีบุตรพระอรหันต์เจ้า เมื่อคราวที่ท่านออกจากนิโรธสมาบัติมาใหม่ ๆ ทานนั้นได้อำนวยผลให้ปุณณทาสผู้เข็ญใจ กลับกลายไปเป็นมหาธนเศรษฐี ภายในเวลาไม่นานนัก และฝ่ายอกุศล อันได้แก่อกุศลหนักเช่น ประทุษร้ายบิดามารดา หรือผู้มีศีลบริสุทธิ์ ตลอดจนความชั่วที่กระทำอยู่เสมอ เช่นค้ายาเสพติด ย่อมถูกจับและถูกประหารชีวิตในที่สุด เป็นต้น
2. อุปปัชชเวทนียกรรม หมายถึง กรรมที่ให้ผลที่ชาติหน้าหรือภพหน้า ได้แก่ กรรมดีก็ตาม กรรมชั่วก็ตาม ที่กระทำในขณะชาตินี้ จะให้ผลในชาติหน้า
3. อปราปริยเวทนียกรรม หมายถึง กรรมที่ให้ผลในชาติต่อ ๆ ไป ได้แก่กรรมดีก็ตาม กรรมชั่วก็ตาม จะให้ผลในชาติต่อ ๆ ไปเรื่อย ๆ ไม่มีกำหนดว่ากี่ชาติ สุดแต่ว่าจะได้โอกาสเมื่อไร ก็จะให้ผลเมื่อนั้น ถ้ายังไม่มีโอกาสก็จะรอคอยอยู่ ตราบใดที่ผู้นั้นยังเวียนว่ายอยู่ในสังสารวัฏ กรรมนี้ก็จะคอยติดตามอยู่ตลอดเวลา ตามทันเมื่อใดก็ให้ผลเมื่อนั้น
4. อโหสิกรรม หมายถึง กรรมที่เลิกให้ผล ได้แก่กรรมดีก็ตาม กรรมชั่วก็ตาม ซึ่งไม่มีโอกาสที่จะให้ผลภายในเวลาที่จะตอบสนองผลของการกระทำนั้น ๆ กรรมนั้นก็จะสิ้นสุด ถือว่าเป็นการหมดกรรม

หมวดที่ 2 กรรมที่ให้ผลโดยกิจ คือกรรมที่ให้ผลตามหน้าที่ แบ่งเป็น
5. ชนกกรรม หมายถึง กรรมแต่งให้เกิด หรือกรรมที่เป็นตัวนำไปเกิด ได้แก่ กรรมคือเจตนาดีก็ตาม ชั่วก็ตาม ที่เป็นตัวให้เกิดดุจบิดามารดา คือให้ผลในการปฏิสนธิ เช่น กระทำกรรมดี ได้เกิดในตระกูลที่เป็นเศรษฐี เป็นต้น
6. อุปัตถัมภกกรรม หมายถึง กรรมสนับสนุน หรือกรรมอุปถัมภ์ เป็นกรรมที่คอยสนับสนุนชนกกรรม เช่น เกิดมาในตระกูลยากจน แต่กระทำความดีช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ไม่ขาด อาจได้รับความเวทนาสงสารจากบุคคลอื่น ให้ได้รับการศึกษา ได้มีงานทำ มีหน้าที่การงานก้าวหน้า จนสามารถยกฐานะของตนเองดีขึ้น เป็นต้น
7. อุปปีฬกกรรม หมายถึง กรรมบีบคั้น หรือกรรมเบียดเบียน คือกรรมที่คอยบีบคั้น เบียดเบียน ทำให้กรรมที่ให้ผลอยู่ก่อนเบาบางลง เช่น เมื่อชนกกรรมนำไปเกิดในครอบครัวที่มั่งคั่ง แต่ถ้าทำอกุศลกรรมอยู่เสมอ ครั้นเมื่อชนกกรรมหมดหน้าที่ เลิกให้ผล อกุศลกรรมซึ่งรอโอกาสอยู่ ก็จะเข้ามาทำหน้าที่เบียดเบียนทันที อาจจะทำให้ยากจนลง หรือถูกกระทำให้พลัดพรากจากครอบครัวตกระกำลำบาก เป็นต้น
8. อุปฆาตกกรรม หมายถึง กรรมตัดรอน เป็นกรรมที่มีอำนาจมากเป็นพิเศษ จะให้ผลอย่างรุนแรงในทันที สามารถขจัดหรือทำลายกรรมที่ให้ผลอยู่ก่อนแล้วให้พ่ายแพ้หมดอำนาจลงได้ จากนั้นกรรมตัดรอนก็จะเข้ามาให้ผลแทนต่อไป เช่น เกิดมาเป็นมหาเศรษฐี มีความสุขสบาย อยู่ได้ไม่นานก็ถูกฆ่าตาย จัดเป็นกรรมตัดรอนฝ่ายชั่ว หรือเกิดมายากจน แต่ได้รับลาภใหญ่กลายเป็นเศรษฐีถือเป็นกรรมตัดรอนฝ่ายดี เป็นต้น

หมวดที่ 3 กรรมที่ให้ผลตามความแรง คือกรรมที่ให้ผลตามความหนัก-เบา แบ่งเป็น
9. ครุกรรม หมายถึง กรรมหนัก ได้แก่กรรมที่ให้ผลแรงมาก ฝ่ายดีได้แก่สมาบัติ 8 (การบรรลุชั้นสูง) ฝ่ายชั่วได้แก่ การกระทำอนันตริยกรรม คือ ฆ่าบิดามารดา ฆ่าพระอรหันต์ ประทุษร้ายพระพุทธเจ้า และทำให้สงฆ์แตกกัน ที่เรียกว่า สังฆเภท ผู้ใดกระทำกรรมเหล่านี้ แม้เพียงประการใดประการหนึ่งก็ตาม กรรมจะให้ผลอย่างหนัก และให้ผลก่อนกรรมอื่น ๆ ไม่มีกุศลกรรมใด ๆ จะสามารถเข้ามาช่วยเหลือได้
10. พหุลกรรม หรืออาจิณณกรรม หมายถึง กรรมสะสม ได้แก่กรรมดีหรือกรรมชั่วที่ประพฤติมาก ๆ หรือทำบ่อย ๆ สั่งสมไปเรื่อย ๆ กรรมไหนสะสมบ่อยและมาก ๆ ก็จะให้ผลกรรมเช่นนั้น
11. อาสันนกรรม หมายถึง กรรมเมื่อใกล้ตาย คือกรรมที่ระลึกได้เมื่อใกล้ตาย จะมีอิทธิพลในการเกิดในชาติใหม่ หรือชนกกรรม เช่น เมื่อใกล้ตายระลึกว่าชาตินี้ยากจน ได้ทำบุญกุศลไว้ไม่มากนัก อยากเกิดเป็นลูกเศรษฐีจะได้ทำบุญกุศลให้มาก ๆ เมื่อมาจุติในชาติต่อไปก็จะเกิดในตระกูลที่มั่งคั่ง เป็นต้น
12. กตัตตากรรม หมายถึง กรรมเล็ก ๆ น้อย หรือสักว่าทำ ได้แก่ กรรมที่ทำด้วยเจตนาอันอ่อน หรือไม่ตั้งใจทำ ทำความดีหรือทำความชั่วเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เคยทำไว้ เมื่อกรรมอื่นๆ ให้ผลหมดแล้ว กรรมชนิดนี้ถึงจะให้ผล ซึ่งเป็นกรรมที่มีอิทธิพลในการให้ผลน้อยที่สุด
                                                อริยสัจ 4 : สมุทัย : มิจฉาวณิชชา 5
           มิจฉาวณิชชา คือ การค้าขายที่ผิด หรือไม่ชอบธรรม หมายถึง บุคคลไม่ควรค้าขายสิ่งเหล่านี้ ซึ่งถือว่าเป็นอันตรายต่อเพื่อนมนุษย์ต่อสัตว์และต่อสภาพแวดล้อม ประกอบด้วย
1. สัตถวณิชชา คือ การขายอาวุธ ได้แก่ อาวุธปืน อาวุธเคมี ระเบิด นิวเคลียร์ อาวุธอื่น ๆ เป็นต้น อาวุธเหล่านี้หากมีเจตนาเพื่อทำร้ายกัน จะก่อให้เกิดการทำลายล้างซึ่งกันและกัน โลกจะไม่เกิดสันติสุข นอกจากนั้นยังก่อมลพิษต่อสภาพแวดล้อมอีกด้วย
2. สัตตวณิชชา หมายถึง การค้าขายมนุษย์ ได้แก่ การค้าขายเด็ก ตลอดจนการใช้แรงงานเด็กและสตรีอย่างทารุณ รวมถึงการค้าประเวณี
3. มังสวณิชชา หมายถึง การขายเนื้อสัตว์ เป็นการส่งเสริมให้ทำผิดศีลข้อที่ 1 คือการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต โดยเฉพาะสัตว์ที่กำลังสูญพันธุ์ทุกชนิด
4. มัชชวณิชชา หมายถึง การค้าขายน้ำเมา ตลอดจนการค้าสารเสพติดทุกชนิด
5. วิสวณิชชา หมายถึง การค้าขายยาพิษ ซึ่งเป็นอันตรายต่อผู้ใช้ รวมทั้งเป็นอันตรายต่อสัตว์และสิ่งแวดล้อมด้ว
                                                                    
                                                          อริยสัจ 4 : นิโรธ : วิมุตติ 5
      วิมุตต หมายถึง ความหลุดพ้น ความเป็นอิสระ เป็นภาวะจิตที่สำคัญเป็นพื้นฐาน ภาวะความหลุดพ้นเป็นอิสระนี้เป็นผลสืบเนื่องมาจากปัญญา คือ เมื่อเห็นตามความเป็นจริง รู้เท่าทันสังขารแล้ว จิตจึงพ้นจากอำนาจครอบงำของกิเลส (ความโลภ ความโกรธ ความหลง) ลักษณะด้านหนึ่งของความเป็นอิสระ ในเมื่อไม่ถูกกิเลสครอบงำ ก็คือ การไม่ตกเป็นทาสของอารมณ์ที่เย้ายวนหรือยั่วยุ อย่างที่ท่านเรียกว่าอารมณ์เป็นที่ตั้งของราคะ หรือ โลภะ โทสะและโมหะ เพราะจิตปราศจากราคะ โลภะ โทสะ โมหะแล้ว ทำให้ไม่หวั่นไหวกับสิ่งเหล่านี้ ยังเป็นหลักประกันให้ประกอบการงานอย่างสุจริตด้วย สามารถเป็นนายเหนืออารมณ์ วิมุตติ ประกอบด้วย 5 ประการคือ
1. ตทังควิมุตติ คือ  ความหลุดพ้นชั่วคราวหรือหลุดพ้นจากธรรมที่ตรงกันข้าม หมายถึง ความหลุดพ้นจากกิเลสได้ชั่วคราว เช่น หายจากความเจ็บปวด หายจากความโลภ เกิดเมตตา หายโกรธ เป็นต้น แต่ความโลภ ความโกรธนั้นไม่หายทีเดียว อาจจะกลับมาอีก หรือการหลุดพ้นจากความตระหนี่หรือความโลภด้วยการให้ทาน การหลุดพ้นจากการอาฆาตพยาบาท มองโลกในแง่ดีด้วยการมีเมตตา
2. วิกขัมภนวิมุตติ คือ ความหลุดพ้นด้วยการสะกดไว้ หมายถึง ความหลุดพ้นจากกิเลสได้ด้วยกำลังฌาน คือ สะกดไว้ได้ด้วยกำลังฌาน เมื่อฌานเสื่อมแล้ว กิเลสเกิดขึ้นได้อีก เช่น เมื่อนั่งสมาธิสามารถสะกดข่มกิเลสไว้ เมื่อออกจากสมาธิกิเลสก็กลับมาอีกครั้ง เป็นต้น
3. สมุจเฉทวิมุตติ คือ ความหลุดพ้นเด็ดขาด หมายถึง ความพ้นจากกิเลสด้วยอำนาจอริยมรรค (มรรคมีองค์ 8) ละกิเลสได้อย่างเด็ดขาด ไม่เกิดกิเลสอีกต่อไป
4. ปฏิปัสสัทธิวิมุตติ คือ ความหลุดพ้นด้วยความสงบ หมายถึง ความหลุดพ้น เป็นอิสระ เพราะกำจัดกิเลสที่ผูกรัดหรือครอบงำได้อย่างราบคาบ ได้แก่ โลกุตตรวิมุติ
5. นิสสรณวิมุตติ คือ ความหลุดพ้นด้วยสลัดออกไป หมายถึง ความหลุดพ้นจากกิเลสนั้นได้อย่างยั่นยืนตลอดไป ดับกิเลสเสร็จสิ้นแล้ว ได้แก่ นิพพาน
                                                                
                                                อริยสัจ 4 : มรรค : อปริหานิยธรรม 7
     อปริหานิยธรรม เป็นหลักธรรมสำหรับใช้ในการปกครอง เพื่อป้องกันมิให้การบริหารหมู่คณะเสื่อมถอย แต่กลับเสริมให้เจริญเพียงส่วนเดียว สามารถนำไปใช้ได้ทั้งหมู่ชนและผู้บริหารบ้านเมืองและพระภิกษุสงฆ์ ดังนี้คือ อปริหานิยธรรมสำหรับหมู่ชนและการบริหารบ้านเมือง เป็นหลักในการปกครอง โดยปฏิบัติตามหลักการร่วมรับผิดชอบที่จะช่วยป้องกันความเสื่อม นำไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองโดยส่วนเดียว มี 7 ประการคือ
1. หมั่นประชุมกันเนืองนิตย์ เป็นการประชุมพบปะปรึกษาหารือกิจการงานต่าง ๆ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน และหาแนวทางแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ร่วมกันโดยสม่ำเสมอ
2. พร้อมเพรียงกันประชุม เลิกประชุม และทำกิจกรรมร่วมกัน เป็นการประชุมและการทำกิจกรรมทั้งหลายที่พึงกระทำร่วมกัน หรือพร้อมเพรียงกันลุกขึ้นป้องกันบ้านเมือง
3. ไม่บัญญัติ หรือล้มเลิกข้อบัญญัติต่าง ๆ เป็นการไม่เพิกถอน ไม่เพิ่มเติม ไม่ละเมิดหรือวางข้อกำหนดกฎเกณฑ์ต่าง ๆ อันมิได้ตกลงบัญญัติไว้ และไม่เหยียบย่ำล้มล้างสิ่งที่ตกลงวางบัญญัติไว้แล้ว ถือปฏิบัติมั่นอยู่ในบทบัญญัติใหญ่ที่วางไว้เป็นธรรมนูญ
4. ให้ความเคารพและรับฟังความคิดเห็นของผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่เป็นผู้มีประสบการณ์ยาวนาน ดังนั้นเราต้องให้เกียรติ ให้ความเคารพนับถือ และรับฟังความคิดเห็นของท่านในฐานะที่เป็นผู้รู้และมีประสบการณ์มามาก
5. ไม่ข่มเหงสตรี เป็นการให้เกียรติและคุ้มครองสตรี มิให้มีการกดขี่ข่มเหงรังแก
6. เคารพบูชาสักการะเจดีย์ คือการให้ความเคารพศาสนสถาน ปูชนียสถาน อนุสาวรีย์ประจำชาติ อันเป็นเครื่องเตือนความจำ ปลุกเร้าให้เราทำความดี และเป็นที่รวมใจของหมู่ชน ไม่ละเลย พิธีเคารพบูชาอันพึงทำต่ออนุสรณ์สถานที่สำคัญเหล่านั้นตามประเพณีที่ดีงาม
7. ให้การอารักขาพระภิกษุสงฆ์หรือผู้ทรงศีล เป็นการจัดการให้ความอารักขา บำรุง คุ้มครอง อันชอบธรรม แก่บรรพชิต ผู้ทรงศีลทรงธรรมบริสุทธิ์
    อปริหานิยธรรมสำหรับพระภิกษุสงฆ์
1. หมั่นประชุมกันเนืองนิตย์ เป็นการพบปะปรึกษาหารือกิจการงานคณะสงฆ์โดยสม่ำเสมอ
2. พร้อมเพรียงกันประชุม เลิกประชุม พร้อมเพรียงกันทำกิจกรรมสงฆ์ ซึ่งการประชุม และการทำกิจกรรมใดที่สงฆ์พึงกระทำร่วมกันและพร้อมเพรียงกันลุกขึ้นจัดการแก้ไขสิ่งเสียหาย เหตุไม่ดีไม่งาม
3. ไม่บัญญัติสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ทรงบัญญัติ คือการไม่ล้มล้างสิ่งที่พระองค์ทรงบัญญัติไว้ สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลายตามที่พระองค์ทรงบัญญัติไว้
4. เคารพและรับฟังถ้อยคำของภิกษุผู้ใหญ่ คือภิกษุเหล่าใดเป็นผู้ใหญ่ เป็นสังฆบิดร เป็นสังฆปรินายก เคารพนับถือภิกษุเหล่านั้น เห็นถ้อยคำของท่านว่าเป็นสิ่งอันควรรับฟัง เช่น เราเคารพนับถือและเชื่อฟังคำสั่งสอนขององค์พระสังฆราช พระราชาคณะต่าง ๆ เป็นต้น
5. ไม่ลุอำนาจตัณหา คือความอยากที่เกิดขึ้น
6. ยินดีในเสนาสนะป่า ยินดีในความเป็นอยู่ที่ง่าย ๆ เป็นที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติ ที่สงบร่มเย็น
7. ยินดีสมาชิกใหม่และความปรารถนาดีต่อสมาชิกเก่า คือตั้งสติระลึกไว้ในใจว่า เพื่อนพรหมจารี (พระภิกษุสงฆ์) ทั้งหลายที่เข้ามาอาศัยอยู่ร่วมกัน และมีความปรารถนาดีต่อพระภิกษุสงฆ์ที่อยู่เก่าให้มีความเป็นอยู่ที่ผาสุก
ปาปณิกธรรม 3
    ปาปณิกธรรม คือ หลักของการเป็นพ่อค้า หรือคุณสมบัติของพ่อค้า หมายถึง การเป็นพ่อค้าที่ดีจะต้องมีหลักในการค้าหรือมีคุณสมบัติด้านการค้าดังต่อไปนี้
1. จักขุมา คือ ตาดี หมายถึง การรู้จักสินค้า ดูสินค้าเป็น สามารถคำนวณราคา กะทุนเก็งกำไรได้อย่างแม่นยำ เป็นต้น
2. วิธูโร คือ จัดเจนธุรกิจ หมายถึง รู้แหล่งซื้อแหล่งขาย รู้ความเคลื่อนไหวหรือความต้องการของตลาด มีความสามารถในการจัดซื้อจัดจำหน่าย รู้ใจและรู้จักเอาใจลูกค้า บริการตรงกับความต้องการของลูกค้า เป็นต้น
3. นิสสยสัมปันโน คือ มีพร้อมด้วยแหล่งทุนเป็นที่อาศัย หมายถึง ทำตัวเป็นที่เชื่อถือไว้วางใจในหมู่แหล่งทุนใหญ่ (เครดิตดี) มีความสามารถหาเงินมาลงทุนหรือหรือดำเนินกิจการได้โดยง่าย

                                                                                  อริยสัจ 4 : มรรค : ทิฏฐธัมมิกัตถสังวัตตนิกธรรม 4

ทิฏฐธัมมิกัตถสังวัตตนิกธรรม 4
      ทิฏฐธัมมิกัตถะ เป็นข้อปฏิบัติสำคัญที่ทำให้เกิดผล คือ ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ทำให้มีทรัพย์สินเงว่ธรรมที่เป็นไปเพื่อประโานะสัมปนทิฏฐธัมมิกัตถะ เป็นข้อปฏิบัติสำคัญที่ทำให้เกิดผล คือ ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ทำให้มีทรัพย์สินเงินทอง พึ่งตนเองได้ เรียกว่าธรรมที่เป็นไปเพื่อประโยชน์ปัจจุบัน บางทีเรียกว่า “หัวใจเศรษฐี” โดยมีคำย่อคือ “อุ” “อา” “กะ” “สะ” ดังนี้คือ
1. อุฏฐานะสัมปทา (อุ) หมายถึง การถึงพร้อมด้วยความขยันหมั่นเพียร รู้จักใช้ปัญญาไตร่ตรองพิจารณาหาวิธีการที่แยบคายในการทำงาน มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ รู้จักคิด รู้จักทำ รู้จักดำเนินการด้านเศรษฐกิจ ทำการงานประกอบอาชีพให้ได้ผลดี

2. อารักขสัมปทา (อา) หมายถึง การถึงพร้อมด้วยการรักษา สามารถปกป้องคุ้มครองรักษาทรัพย์สินที่หามาได้ ไม่ให้สูญหายพินาศไปด้วยภัยต่าง ๆ
3. กัลยาณมิตตตา (กะ) หมายถึง การรู้จักคบคนดีหรือมีกัลยาณมิตร ซึ่งจะเป็นองค์ประกอบสำคัญ ที่ช่วยให้เจริญก้าวหน้าในวงการอาชีพนั้น ๆ ทำให้รู้เห็นช่องทางและโอกาสต่าง ๆ ในการงาน ทันต่อเหตุการณ์ ตลอดจนรู้จักปฏิบัติต่อทรัพย์ของตนอย่างถูกต้อง ไม่ถูกมิตรชั่วชักจูงไปในทางอบายมุข ซึ่งจะทำให้ทรัพย์สินไม่เพิ่มพูนหรือมีแต่จะหดหายไป
4. สมชีวิตา (สะ) หมายถึง ความเป็นอยู่พอดี หรือความเป็นอยู่สมดุล คือเลี้ยงชีพแต่พอดี ไม่ให้ฟุ่มเฟือย ไม่ให้ฝืดเคือง ให้รายได้เหนือรายจ่าย มีเหลือเก็บไว้ใช้ในคราวจำเป็นต่าง ๆ

3. กัลยาณมิตตตา (กะ) หมายถึง การรู้จัคนดี
อริยสัจ 4 : มรรค : โภคอาทิยะ 5
โภคอาทิยะ 5
โภคอาทิยะคือ เมื่อมีทรัพย์สิน ควรนำมาใช้ประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิต ประกอบด้วย
1. ใช้จ่ายทรัพย์ นั้นเลี้ยงตนเอง เลี้ยงดูครอบครัว มารดาบิดา ให้เป็นสุข
2. ใช้จ่ายทรัพย์นั้นบำรุงเลี้ยงมิตรสหาย ผู้ร่วมกิจการงานให้เป็นสุข
3. ใช้ป้องกันภยันตรายต่าง ๆ
4. ใช้ทำพลี คือ การสละบำรุงสงเคราะห์ 5 อย่าง ได้แก่
ก. อติถิพลี ใช้ต้อนรับแขก คนที่ไปมาหาสู่ เป็นเรื่องของการปฏิสันถาร
ข. ญาติพลี ใช้สงเคราะห์ญาติ
ค. ราชพลี ใช้บำรุงราชการด้วยการเสียภาษีอากร เป็นต้น
ง. เทวตาพลี บำรุงเทวดา คือสิ่งที่เคารพนับถือตามลัทธิความเชื่อหรือตามขนบธรรมเนียมของสังคม
จ. ปุพพเปตพลี ทำบุญอุทิศให้แก่บุพการี ท่านที่ล่วงลับไปแล้ว เป็นการแสดงความกตัญญูรู้คุณ
5. ใช้บำรุงสมณพราหมณ์ คือ พระสงฆ์ผู้ประพฤติดี ปฏิบัติชอบ ผู้ฝึกฝนพัฒนาตนเอง ไม่ประมาทมัวเมา ผู้ที่จะดำรงธรรมไว้ให้แก่สังคม


                                         อริยสัจ 4 : มรรค : อริยวัฑฒิ 5
อริยวัฑฒ   คือ ความเจริญอย่างประเสริฐ คือหลักความเจริญของอารยชน หรือคนที่เจริญแล้ว ประกอบด้

                                                                                   อริยสัจ 4 : มรรค : มงคล 3

            โลกธรรม คือ เรื่องของโลก ธรรมดาของโลก ธรรมชาติของโลก หมายถึง ธรรมชาติที่มีอยู่ เป็นอยู่คู่กับมนุษย์ปุถุชนคนธรรมดา ไม่มีใครสามารถหลุดพ้นได้ แม้แต่พระอริยบุคคลก็ต้องมีสิ่งเหล่านี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้โลกธรรม มี 8 อย่างแบ่งออกเป็น
1. อารมณ์ที่น่าปรารถนา พึงพอใจ เรียกว่า อิฏฐารมณ์ 4 ได้แก่ ได้ลาภ ได้ยศ ได้รับการสรรเสริญ ได้รับความสุข
2. อารมณ์ที่ไม่น่าปรารถนา ไม่พึงพอใจ เรียกว่า อนิฏฐารมณ์ 4 ได้แก่ เสื่อมลาภ เสื่อมยศ ได้รับการนินทา และได้รับความทุกข์โลกธรรมนี้ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน ทั้งเกิดขึ้นกับปุถุชนทั่วไป และเกิดแก่พระอริยสาวก จะแตกต่างกันก็แต่การวางใจและการปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านี้ กล่าวคือ
1) ปุถุชนทั่วไป ที่ไม่ได้รับการศึกษา ไม่รู้จักฝึกอบรมตน ย่อมไม่เข้าใจ ไม่รู้เท่าทันตามความเป็นจริง ลุ่มหลงลืมตน ยินดียินร้าย คราวได้ลาภ ได้ยศ ได้สรรเสริญ ได้สุข ก็หลงใหล มัวเมา หรือลำพองจนเหลิงลอย คราวเสียลาภ เสียยศ ถูกนินทา และเป็นทุกข์ ก็เกิดการท้อ หมดกำลังใจ หรือถึงกับคลุ้มคลั่ง ปล่อยให้โลกธรรมเข้าครอบงำย่ำยีจิตใจ ไม่พ้นจากความทุกข์โศก
2) ผู้ที่ได้รับการฝึกอบรม ผู้เป็นอริยสาวก สามารถรู้และพิจารณารู้เท่าทันตามความเป็นจริงว่า สิ่งเหล่านี้ ที่เกิดขึ้นกับตน ล้วนไม่เที่ยง ไม่คงทน ไม่สมบูรณ์ มี ความแปรปรวนได้เป็นธรรมดา จึงไม่หลงใหลมัวเมา เคลิบเคลิ้มไปตามอารมณ์ที่น่าปรารถนา และไม่ขุ่นมัวหม่นหมองคลุ้มคลั่งกับอารมณ์ที่ไม่น่าปรารถนา มีจิตใจไม่หวั่นไหว มีสติดำรงอยู่ได้ วางตัววางใจให้พอดี ไม่หลงระเริงในความสุข และไม่ถูกความทุกข์ทับถมจิตใจ เป็นต้นยิ่งกว่านั้น พระอริยสาวกอาจใช้โลกธรรมเหล่านั้นให้เป็นประโยชน์ เช่น ใช้อารมณ์ที่น่าปรารถนาเป็นบทเรียน เป็นแบบทดสอบ
                          
 
       ความเศร้าโศก ได้แก่ ความรู้สึกทุกข์กายทุกข์ใจ เป็นปฏิกิริยาอาการที่ไม่ดีของธรรมชาติสำหรับมนุษย์ อันเกิดมาจากสาเหตุต่าง ๆ นานัปการ เช่น เกิดจากความเสื่อมจากญาติ เกิดจากความเสื่อมจากทรัพย์ เกิดจากความเสื่อมจากเกียรติยศชื่อเสียง หรือเกิดจากการถูกทำลาย ทั้งทางกายและจิตใจ หรือ
      ขัดแย้งกันระหว่างความรู้สึกภายในจิตใจกับสิ่งภายนอกร่างกาย ความเศร้าโศก ต้องบรรเทาด้วยการปฏิบัติธรรม ด้วยการระงับความรู้สึก ด้วยการข่มจิตใจและด้วยการปรับเปลี่ยนความรู้สึกที่ไม่ดีให้เป็นความรู้สึกที่ดี เช่น ระลึกถึงบุญกุศลที่ได้เคยทำไว้ในกาลก่อน หรือด้วยการระงับประสาทระงับความรู้สึกที่ไม่ดี
การมีจิตใจที่ไร้ความเศร้าโศก จึงเป็นภาวะของพระอริยเจ้า ที่มีจิตใจสงบ มั่นคง เด็ดเดี่ยว หนักแน่นและเข้มแข็ง เพราะความรู้สึกเล็ก ๆ น้อยๆจากความเสื่อมทั้งหลายที่กล่าวมา ไม่สามารถทำให้ท่านมีจิตใจหวั่นไหวและเศร้าโศกได้ เป็นคุณสมบัติอันพิเศษ อันอยู่เหนือวิสัยของปุถุชนคนธรรมดา เป็นภาวะที่มาจากการฝึกฝนจิตให้เข้มแข็ง ทำให้มีความอดทนทั้งด้านร่างกายและจิตใจสูง ทำให้มีพลังความอดทนและความเด็ดเดี่ยวอยู่เหนือความรู้สึกทั้งหมด ความไม่เศร้าโศกจึงทำให้ร่างกาย และจิตใจผ่องใสเบิกบาน ทำให้เป็นศิริมงคลแก่ตัวเองและผู้พบเห็น เป็นการบรรลุจุดหมายอันสูงสุดของชีวิต เป็นผู้กำจัดความทุกข์ทั้งหลายทั้งปวงของชีวิตได้หมดสิ้นแล้ว เป็นผู้ดำรงอยู่ในปรมัตถธรรม พระบรมศาสดาจึงตรัสว่า การมีจิตใจที่ไร้ความเศร้าโศก เป็นมงคลสูงสุด
         ราคะ คือ ความกำหนัดรักใคร่อยากในรูป เสียง กลิ่น รส และอยากสัมผัสอารมณ์ความรู้สึกที่พึงพอใจ ชอบใจ ทำให้สุขกายสุขใจที่ผสมไปด้วยความทุกข์ และความเศร้าหมองของกายและใจ

         โทสะ คือ ความโกรธ ความฉุนเฉียว ความอาฆาตพยาบาทและปองร้าย ความรู้สึกที่ไม่ดีที่เกิดขึ้นพร้อมกันทั้งทางร่างกาย วาจาและใจ เป็นภาวะที่ไม่ดีแก่ตัวเองและผู้อื่นเมื่อเกิดความโกรธขึ้น
         โมหะ คือ ความหลง ความโง่เขลาเบาปัญญา ความหลงผิด ความเห็นผิดเป็นถูก ความเห็นถูกเป็นผิด เป็นความรู้สึกที่ขาดประสบการณ์ ขาดการวิเคราะห์ ขาดความรับผิดชอบชั่วดีในเรื่องคุณธรรม
         ราคะ โดยธรรมชาติแล้ว เป็นสิ่งที่มีโทษน้อยและคลายช้า แต่ถ้ามีโทสะ โมหะเกิดขึ้นร่วมด้วยก็จะทำให้ราคะมีโทษมาก มีพลังมาก มีความรุนแรงมาก ดังนั้นจึงควรกำจัดหรือระงับราคะด้วยอสุภสัญญา คือ พยายามวิเคราะห์ หรือพิจารณาทำให้รู้เห็นตามความเป็นจริงว่า รูป เสียง กลิ่น รส การสัมผัส และอารมณ์ความรู้สึกเป็นของธรรมดา อีกไม่ช้าก็จะสูญสลายไปในที่สุด
       
จิตเกษม คือ จิตที่มีสภาวะเป็นกลางและจิตที่ปราศจากกิเลส คือ ไม่มีกิเลสที่เรียกว่า โยคะ และโยคะ ได้แก่ กิเลสที่ครอบงำ สัตว์ทั้งหลายตกอยู่ในอำนาจของวัฏฏะ คือ การเวียนว่ายตายเกิดของสัตว์ที่มีกิเลส อย่างไม่มีที่สิ้นสุด คำว่า โยคะ มี 4 อย่างคือ
1. กามโยคะ ได้แก่ ความกำหนัด ความรักใคร่ ความพอใจ ผูกใจติดอยู่ในกามคุณ 5 คือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส
2. ภวโยคะ ได้แก่ ความกำหนัด ความพอใจ หลงอยู่ติดอยู่ในรูปภพ คือ ภพที่เป็นที่เกิดและเป็นที่อยู่ของพวกพรหมที่มีรูปร่าง 16ชั้น มีชั้นมหาพรหม เป็นต้น และอรูปภพ คือ ภพที่เป็นที่อยู่ของพวกพรหมที่ไม่มีรูปร่าง มี 4 ชั้น มีชั้นสวิญญาณัญจายตนะ เป็นต้น และความผูกใจติดอยู่ในฌาน 4 มี ปฐมฌาน เป็นต้น อันเป็นความกำหนัดที่ประกอบไปด้วยความเชื่อว่า จิตวิญญาณ เป็นของเที่ยง ไม่มีการเกิด การแก่ การเจ็บ และการตาย
3. ทิฏฐิโยคะ ได้แก่ ความพอใจหลงติดอยู่ในทิฏฐิ 62 ประการ คือ มีความเชื่อว่า โลกนี้เที่ยง เป็นต้น อันเป็นความเห็นผิดที่ครอบงำสัตว์ให้ตกอยู่ในอำนาจของการเวียนว่ายตายเกิด
4. อวิชชาโยคะ ได้แก่ กิเลสครอบงำสัตว์ให้เห็นผิดเป็นถูก เห็นถูกเป็นผิด ทำให้โง่เขลาเบาปัญญา ไม่รู้ความจริงตามแบบอริยสัจทำให้ไม่สามารถหลุดพ้นจากกการเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในโลกนี้ได้ ทำให้เป็นทุกข์สืบต่อกันไปเรื่อย ๆ หาจุดหมายไม่ได้
        การมีจิตเกษม เป็นเหตุให้ปลอดโปร่งโล่งใจ เป็นเหตุให้เป็นอิสรภาพจากโลกธรรมทั้งหลาย คือ ได้ลาภ เสื่อมลาภ ได้ยศ เสื่อมยศได้รับคำสรรเสริญ ถูกนินทา ได้รับความสุข และความทุกข์ สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถครอบงำจิตใจของเราได้ จึงมีความเป็นอยู่เหนือโลกธรรมทั้งหลาย เป็นเหตุให้มีความเป็นเอกภาพในตัวเอง คือ ได้ศึกษาค้นคว้าฝึกปฏิบัติจบแล้ว ได้บรรลุปัญญาอันสูงสุด มีความรู้จริง เห็นจริง และบรรลุจุดมุ่งหมายสูงสุดของชีวิต คือ นิพพาน
      ประโยชน์ของจิตเกษมคือ
1. ทำให้บรรลุมรรคผลนิพพาน
2. มีสติปัญญา มีความรู้ความสามารถที่พิเศษขึ้น
3. ทำให้ไม่มีภัย
4. ทำให้มีความสุขอย่างแท้จริง
                                                                     
                                                                           พุทธศาสนสุภาษิต
          ศาสนสุภาษิต หมายถึงคำสุภาษิตของพระพุทธศาสนา เป็นคำที่กล่าวไว้อย่างสั้นๆแต่มีความหมายลึกซึ้ง ให้ข้อคิดที่ควรนำไปประพฤติปฏิบัติ มีลักษณะเช่นเดียวกับสุภาษิตคำพังเพยในภาษาไทย พุทธศาสนสุภาษิตมีแหล่งที่มาแตกต่างกัน เช่น
                                                            ปฏิรูปการี ธุรวา อุฏฺฐาตา วินฺทเต ธน ํ
                                                  คนขยัน เอาการเอางาน กระทำเหมาะสม ย่อมหาทรัพย์ได้
          “คนมีงานทำเป็นหลักเป็นฐาน ตั้งใจทำงาน ย่อมมีโอกาสร่ำรวยได้” ดังนั้นขึ้นชื่อว่าคนขยัน ย่อมไม่ปล่อยให้ตนเป็นคนว่างงาน ย่อมประกอบอาชีพสุจริต ทำอาชีพอะไรก็ได้ที่ตนเองถนัดและสนใจที่จะทำ เช่น อาชีพข้าราชการ รัฐวิสาหกิจ พ่อค้า ตลอดจนเป็นชาวไร่ชาวนา หากมีความขยันหมั่นเพียรประกอบอาชีพของตน มีความรู้ความชำนาญเกี่ยวกับงานที่ตนกระทำอยู่เป็นอย่างดี เอาใจใส่ดูแลงานให้มีประสิทธิภาพ โดยอาศัยหลักของอิทธิบาท 4 คือ มีความพอใจในอาชีพการงานของตน (ฉันทะ) มีความขยันหมั่นเพียรดูแลกิจการงานตนเองด้วยความอดทนอดกลั้น (วิริยะ) มีจิตใจจดจ่อมีความตั้งใจที่จะกระทำกิจการงานนั้นให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดีและมีประสิทธิภาพ (จิตตะ) และหมั่นพินิจพิจารณาเพื่อพัฒนากิจการงานของตนเองให้เจริญก้าวหน้ายิ่ง ๆ ขึ้นไป (วิมังสา) จะเห็นได้ว่า หากเรามีความขยันหมั่นเพียรประกอบกิจการงานของตนด้วยดี ย่อมจะได้รับผลตอบแทนที่ดี และคุ้มค่าด้วย

                                                          วายเมเถว ปุริโส ยาว อตฺถสฺส  นิปฺปทา              
                                                
เกิดเป็นคนควรจะพยายามจนกว่าจะประสบความสำเร็จ                            
              “การกระทำอะไรยังไม่บรรลุผลสำเร็จแล้วท้อถอย ไม่ใช่วิสัยของบุรุษ” นั่นคือ เกิดเป็นคน ต้องคิดไว้เสมอว่า ชีวิต คือการต่อสู้ ศัตรู คือที่ทดสอบกำลังใจ การทำอะไรต้องมีความอุตสาหะพยายามทำให้สำเร็จให้ได้ ไม่ผลัดวันประกันพรุ่ง เช่น เรียนหนังสือก็ต้องให้จบหลักสูตร สอบแข่งขันบรรจุในตำแหน่งการงานใด ๆ ก็ต้องพยายามจนสุดความสามารถ ถ้าหากพลาดพลั้งก็ไม่ท้อถอย ตั้งใจมุ่งมั่นต่อสู้ต่อไป พยายามสร้างพลังใจของตนเองให้เข้มแข็งพร้อมที่จะต่อสู้อุปสรรคของเรา “จงต่อสู้ด้วยจิตใจที่ทรนง หากเราล้ม…เราก็ลุกขึ้นมาได้ไม่ใช่หรือ”

                                                                          สนฺตุฏฺฐี ปรมํ ธนํ
  
                                                              ความสันโดษเป็นทรัพย์อย่างยิ่                                                            
             “ทรัพย์คือปัจจัยสี่ เป็นสิ่งจำเป็นในการดำรงชีวิต ถ้ามีแล้วไม่รู้จักพอก็เป็นทุกข์” คำว่า สันโดษ แปลว่าความยินดีเฉพาะในสิ่งที่มีอยู่หรือความพอใจเท่าที่มีตามฐานะของตน หมายความว่าตนเองแสวงหาปัจจัยสี่ หรือมีปัจจัยสี่ คือเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม เครื่องประดับเช่นใดก็พอใจ ตนเองมีอาหารการกินสุขสมบูรณ์หรือพอยังอัตภาพให้อยู่ได้ก็พอใจ ตนเองมีบ้านที่อยู่อาศัยขนาดไหนก็พอใจ ตนเองมีความสามารถดูแลรักษาพยาบาลในระดับใด ก็พอใจ เป็นต้น ความพึงพอใจในสิ่งที่ตนเอง มีอยู่นี้จึงถือว่า “เป็นทรัพย์อย่างยิ่ง” ไม่มีทรัพย์สินที่เป็นปัจจัยสี่ใด ๆ จะเทียบเท่าได้ นั่นคือผลสุดท้ายก็จะประสบกับความสุขที่แท้จริง โดยไม่หลงงมงายกับวัตถุสิ่งของมากเกินไป

  
                                                                      อิณาทานํ ทุกฺขํ โลเก
  
                                                                  การเป็นหนี้เป็นทุกข์ในโลก
          “ การรู้จักสันโดษ ไม่ก่อให้เกิดหนี้” จากพุทธสุภาษิตข้างต้นจะเห็นได้ว่า หากเรารู้จักความพอดีจะนำมาซึ่งความสุข และบุคคลนั้นย่อมไม่ก่อให้เกิดหนี้
การเป็นหนี้โดยการกู้ยืมมาจากบุคคลอื่น เพื่อนำมาใช้จ่าย ทำให้เกิดทุกข์ เพราะต้องจ่ายดอกเบี้ย ถูกทวงถาม ถูกฟ้องร้องดำเนินคดี ต้องโทษ และอาจจะถึงขั้นล้มละลายหรือถูกจองจำในที่สุด
การกู้หนี้มีสองชนิด คือกู้มาเพื่อลงทุนทำกิจการต่าง ๆ และการกู้มาเพื่อกินเพื่อใช้ การกู้ชนิดแรกเป็นการทำเพื่อหวังกำไรและเป็นวิธีการใหม่จึงอยู่นอกความหมายของพุทธสุภาษิตนี้ ในที่นี้จึงหมายเฉพาะการกู้มาใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่ายเท่านั้น
          การกู้หนี้คือการหยิบยืมทรัพย์สินของผู้อื่นมาใช้ โดยมีเงื่อนไขจะจ่ายดอกเบี้ยให้ คนกู้หนี้เมื่อได้ทรัพย์สินมาแล้วมักลืมตัวใช้จ่ายไม่ระวัง จึงทำให้ทรัพย์หมดไปอย่างรวดเร็ว ไม่สามารถจะหาเงินต้นไปคืนเจ้าหนี้ได้ บางทีก็ไปก่อหนี้ใหม่ขึ้นมาอีก ทับถมไปเรื่อย ๆ จนไม่สามารถที่จะหามาทดแทนได้ เกิดเป็นความทุกข์ที่ไม่มีที่สิ้นสุด
          การไม่เป็นหนี้ก็คือ การมีความขยันหมั่นเพียร มีความเพียรพยายามประกอบอาชีพให้ประสบความสำเร็จ และมีความสันโดษ